ผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลังและวุ้นเส้นชั้นนำ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายโฮ เรน ฮวา
(ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร)

ช่วยเล่าประวัติความเป็นมาของบริษัทฯ และธุรกิจในวันนี้

ในปี 2558 ไทยวาก่อตั้งขึ้นจากการควบรวมกิจการของสองบริษัท ระหว่างบริษัท ไทยวาฟูดโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยวาสตาร์ช จำกัด (มหาชน) การควบรวมกิจการในครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญของไทยวากรุ๊ปซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ 70 ปีที่แล้ว เหตุผลในการควบรวมกิจการมีอยู่ 2 ประการด้วยกัน ประการแรกคือ ธุรกิจแป้งมันสำปะหลังและอาหารมีลักษณะการกระจายสินค้าและส่งออกที่คล้ายคลึงกัน ประการที่สองคือ ทั้งสองบริษัทมีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยล้วนให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศในการปฏิบัติงานและการดำเนินงานด้านการเงินอย่างรอบคอบระมัดระวัง เมื่อควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน เราจึงกลายเป็นองค์กรที่ใหญ่ขึ้นและมีระบบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนฐานะทางการเงินและความหลากหลายของช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แป้ง โดยเน้นส่งออกไปประเทศจีน และไต้หวัน ส่วนผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นจะเน้นจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปอเมริกา ยุโรปและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก

ทั้งสองธุรกิจมีผลการดำเนินงานอย่างไรบ้างและมีทิศทางในอนาคตอย่างไร?

เราจำหน่ายแป้งมันสำปะหลังภายใต้แบรนด์ “Rose” ซึ่งเป็นแบรนด์ส่งออกชั้นนำไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศจีน และไต้หวัน โดยมากแป้งมันสำปะหลังจะใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร เช่น ขนม ผงชูรส และเมนูอาหารชนิดอื่นๆ อีกมากมาย วิสัยทัศน์ของเราคือมุ่งไปสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังชั้นนำในภูมิภาค พร้อมด้วยสำรวจโอกาสใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กัน สำหรับธุรกิจอาหาร บริษัทฯ มีแบรนด์ของตัวเองทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่ “มังกรคู่” “หงษ์” และ “กิเลนคู่” ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของเราคือวุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยว โดยเรามีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 40% เพราะตัวแบรนด์มีความเก่าแก่และเป็นที่เชื่อถือในหมู่ลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตอาหารหรือร้านอาหารกว่า 50 ปี นอกจากนี้เรายังมองเห็นโอกาสในการเติบโตในประเทศกัมพูชา เวียดนาม และเมียนมาร์ เนื่องด้วยอัตราการบริโภคที่เติบโตสูงใน 3 ประเทศดังกล่าว เราจึงมองเห็นโอกาสที่จะจับตลาดได้ค่อนข้างชัดเจน เมื่อเร็วๆ นี้เราเพิ่งจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทย่อยในกัมพูชาและเวียดนามเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV ปัจจุบันรายได้ 90% ของธุรกิจอาหารมีรายได้มาจากประเทศไทย แต่ด้วยโอกาสและการพัฒนาดังที่กล่าวมา เรามีแผนจะเพิ่มรายได้การส่งออก โดยวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้ 20-30% ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า แม้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใช้เวลาในการสร้างและดำเนินแผนกลยุทธ์ แต่เราก็มั่นใจที่จะเดินหน้าและบุกตลาดเพื่อสร้างการเติบโตในตลาดประเทศเพื่อนบ้าน

อะไรคือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ทำให้ไทยวาเติบโตและสร้างธุรกิจอย่างประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้?

เรามองว่าวัฒนธรรมองค์กรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ มาอยู่ในจุดนี้ในวันนี้ได้ ทีมผู้บริหารหลายท่านล้วนมีประสบการณ์ในการบริหารงานและระบบงานของบริษัทฯ มากว่า 20 ปี จากการควบรวมกิจการของสองบริษัทซึ่งมีสถานะของกิจการที่ดี ทำให้ไทยวาเป็นองค์กรที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแรง มีระบบงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจต่อไป หากมองย้อนกลับไป 2-3 ปี คุณจะเห็นว่าประสิทธิภาพของการใช้ทรัพย์สินและผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนล้วนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องด้วยเรามีความชัดเจนในเป้าหมายและพร้อมจะเดินไปข้างหน้า แม้ว่าเป้าหมายของเราจะตั้งเอาไว้สูง แต่เราก็ยึดมั่นกับหลักการพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจอยู่เสมอ

เทคโนโลยีสร้างผลกระทบต่อธุรกิจคุณอย่างไรบ้าง?

ตัวธุรกิจหลักยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งก็คือการซื้อหัวมันสำปะหลังมาผ่านกระบวนการผลิตเป็นแป้งมันและนำออกสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีค่อนข้างมีบทบาทในทางบวกกับการผลิตและระบบการทำงาน ซึ่งเราเองก็ติดตามเทคโนโลยีอยู่ตลอดตราบใดที่มันสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจในภาพรวม จากมุมมองของการทำวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านชีวภาพ เรากำลังริเริ่มความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของแป้ง ซึ่งจะช่วยนำไปสู่การพัฒนาคุณสมบัติและสามารถต่อยอดผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ๆ ได้ในอนาคต

ราคาสินค้ามีผลต่อธุรกิจคุณอย่างไรบ้าง?

มันสำปะหลังเป็นพืชที่มีความเฉพาะตัวและปลูกกันมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยอ่อนไหวต่อสถานการณ์ราคาในระดับสากลซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบเช่น น้ำมัน ถั่วเหลือง น้ำตาล และอื่นๆ เรามองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องวางตำแหน่งสินค้าของเราเป็นแบรนด์ระดับพรีเมี่ยม โดยมีวัตถุประสงค์การใช้งานที่ชัดเจนให้กับลูกค้า แทนที่จะเป็นเพียงวัตถุดิบธรรมดา ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถรักษาส่วนต่างราคาให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าสินค้าทั่วไป

อะไรคือความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจของคุณ?

ผมมองว่า CEO ทุกคนคงต้องตระหนักถึงความเสี่ยงในระดับมหภาค เช่น การค้ากับต่างประเทศ การปรับอัตราภาษีชายแดน การบริโภคในจีน และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือเสมออยู่แล้วไม่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด สิ่งที่สำคัญกับบริษัทกว่าคือการสร้างทีม สร้างคน และพัฒนาธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

คุณมองภาพธุรกิจของไทยวาอย่างไรบ้างในอีก 5 ปีข้างหน้า?

ภายในปี 2564 เราต้องการเป็นหนึ่งในบริษัทที่ดีที่สุดในอาเซียน การขยายธุรกิจและตัวเลขทางธุรกิจถือเป็นเป้าหมายสำคัญ แต่จะสามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อองค์กรมีทีมผู้บริหารที่มีความสามารถ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวและเป็นผู้นำในตลาดต่อไป