เพื่อน ๆ และครอบครัวชาวไทยวาทุกท่าน

เมื่อบริษัทมองย้อนกลับไปยังเหตุการณ์สำคัญและความสำเร็จในปี 2566 บริษัทรู้สึกขอบคุณต่อความเข้มแข็ง ความทุ่มเท และการสนับสนุนอย่างแน่วแน่จากทีมงานและคู่ค้าของบริษัท โดยท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วใน ตลาดโลก บริษัทได้พัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ และยึดมั่นในคำมั่นสัญญาของบริษัทในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและ ความยั่งยืนจากไร่สู่ผู้บริโภคในทุก ๆ วันอย่างต่อเนื่อง

บริษัทเดินหน้าแผนการขยายธุรกิจในภูมิภาคในปี 2566 ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีความสมดุลและหลากหลายมากขึ้น ในการนี้ โครงการการลงทุนใหม่อย่างยั่งยืนในพื้นที่สีเขียวในประเทศกัมพูชาของบริษัทได้เสร็จสมบูรณ์แล้วโดยมีเป้าหมาย ที่จะเริ่มเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2567 ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 4 บริษัทได้รับรางวัล FSA Silver Award จาก SAI Platform สำหรับการเพาะปลูกและการปรับขนาดภายใต้แนวทางปฏิบัติทางการเกษตรแบบยั่งยืน ให้แก่เกษตรกรอินทรีย์กว่า 800 รายในประเทศกัมพูชา ในส่วนของแผนการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทนั้น ยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าภายในกลางปี 2569 ถึงปี 2570 บริษัทจะใช้พลังงานทดแทนในอัตรา ร้อยละ 50 ของบริษัท อนึ่ง ในระดับภูมิภาค การดำเนินการตามแผนธุรกิจของบริษัททำให้เกิดการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยอัตราตัวเลขสองหลักในส่วนของวัตถุดิบที่มีมูลค่าเพิ่มสูง รวมทั้งมีการเติบโตที่โดดเด่นในตลาดของประเทศเวียดนาม และตลาดของประเทศอินโดนีเซีย

ผมมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าในปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าจำนวน 1 หมื่นล้านบาท แม้จะมี ความท้าทายในระดับมหภาคจากสภาพภูมิอากาศและเศรษฐกิจก็ตาม ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่ออกแบบ มาเพื่อเปลี่ยนแปลงพอร์ตโฟลิโอของผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปสู่อาหารและวัตถุดิบของกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจ (B2B) ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เมื่อก้าวต่อไปของการเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงของบริษัทได้เริ่มต้นขึ้น บริษัทจะเร่งดำเนินการให้เกิดการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และขยายธุรกิจไปยังตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิ กที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ประเทศ อินเดีย ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิ ลิปปินส์ ความทุ่มเททั้งหมดนี้เป็นการยืนยันเจตจำนงในการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ ของบริษัทเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศ การตลาด ตลอดจนความสามารถในการพัฒนา ด้านเทคนิคของบริษัทผ่านสำนักงานสาขาทั่วภูมิภาคและห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา

ธุรกิจอาหารของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2566 ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7 และกำไรที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 การเติบโตที่สำคัญในประเทศเวียดนามและประเทศไทยเกิดจากความสำเร็จในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและ การเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเข้าเป็นพันธมิตร โดยวุ้นเส้นถ้วยพร้อมรับประทานของบริษัทยังคงครองอันดับ 1 ในตลาดและ ได้รับรางวัล Nielson IQ Innovation Award ทั้งนี้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคและแนวโน้มการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทยังคงมุ่งมั่น เรียนรู้ และพัฒนาการให้บริการแก่ผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันผ่านทางรสชาติ เนื้อสัมผัส และโภชนาการ

ผมขอแสดงความขอบคุณต่อเพื่อนร่วมงาน คู่ค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทสำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในการเดินทางครั้งนี้ และเราจะร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าสำหรับลูกค้าทุกคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดจนลูกค้าของเราในทั่วโลก

ในปีที่ผ่านมา วัตถุดิบของกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจ (B2B) และธุรกิจแป้ง และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องของบริษัทต้อง เผชิญกับความท้าทายเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่ติดกันรุนแรง ส่งผลให้ผลผลิตมันสำปะหลังในภูมิภาคลดลง ร้อยละ 25 ถึงร้อยละ 30 อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถควบคุมการขาดแคลนของวัตถุดิบให้ต่ำกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากแผนการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์และการปฏิบัติงานที่เข้มแข็ง การดำเนินการดังกล่าวจึงส่งผลให้ บริษัทกลับมามีความสำคัญในลำดับต้นสำหรับลูกค้าอีกครั้ง ด้วยการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของบริษัทที่มีต่อลูกค้า และ บริหารจัดการให้สถานการณ์วัตถุดิบที่ลดลงมีผลกระทบต่อลูกค้าน้อยที่สุด บริษัทยังคงเป็นผู้นำตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ จากมันสำปะหลังในประเทศจีน ตลอดจนได้สร้างฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งในภูมิภาคตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือ และเอเชีย แปซิฟิก ทั้งนี้ ด้วยรากฐานของผลิตภัณฑ์ที่ใช้มันสำปะหลังเป็นหลัก บริษัทได้ขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่การผลิตแป้งออร์แกนิก แป้งดัดแปร และแป้งพรีเจลาติไนซ์ (Pre-Gelatinized Starch) เพื่อให้เป็นวัตถุดิบที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบสนอง ความต้องการด้านอาหารของทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น

แนวทางเชิงรุกของบริษัทในการจัดการความท้าทายต่าง ๆ ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืน ทำให้บริษัท สามารถส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทต่อไปได้ โดยรวมแล้วบริษัทมียอดขายมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท และ มีกำไรสุทธิในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2566 ตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ จำนวน 28 ล้านบาท (0.05 บาท/หุ้น) ในการนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เสนอการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.091 บาทต่อหุ้นสำหรับรอบ ปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปีของบริษัท ในวันที่ 24 เมษายน 2567

ในก้าวถัดไปของบริษัท เราสัญญาว่าจะสานต่อความยิ่งใหญ่ของบริษัท และรักษาระดับให้นวัตกรรมของบริษัทอยู่ในระดับ แนวหน้าในอุตสาหกรรม บริษัทมีความมุ่งมั่นและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเปลี่ยนแปลงของไทยวาในก้าวต่อไป ผมขอแสดงความขอบคุณต่อเพื่อนร่วมงาน คู่ค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทสำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ในการเดินทางครั้งนี้ และเราจะร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าสำหรับลูกค้าทุกคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนลูกค้าของเราในทั่วโลก